ความต่าง Risk Assessment กับ JSA เครื่องมือบริหารความเสี่ยงในงาน

by pam
49 views
ความต่าง Risk Assessment กับJSA

ในโลกของความปลอดภัยในการทำงาน เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวางระบบป้องกันอันตรายและส่งเสริมความปลอดภัยให้กับพนักงาน Risk Assessment และ Job Safety Analysis (JSA) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ จป. ต้องใช้ในการประเมินอันตรายและวางแผนป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการทำงาน อย่างไรก็ตาม หลายครั้งทั้งสองคำนี้มักถูกใช้แทนกัน แม้จะมีเป้าหมายร่วมกันแต่กลับมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ความหมายของ Job Safety Analysis (JSA)

Job Safety Analysis (JSA) หรือ “การวิเคราะห์ความปลอดภัยในการทำงานเฉพาะงาน” คือกระบวนการวิเคราะห์ขั้นตอนของงาน (Job Step) อย่างละเอียด เพื่อระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอน และกำหนดมาตรการควบคุมอันตรายนั้นอย่างเป็นรูปธรรม

JSA มีลักษณะเฉพาะที่เน้นไปที่กิจกรรมหรืองานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ (Task-Based) ซึ่งเหมาะกับงานที่มีความเสี่ยงสูง งานไม่เป็นกิจวัตร หรืองานที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น งานซ่อมบำรุง งานขึ้นที่สูง หรืองานในที่อับอากาศ

ขั้นตอนของการทำ JSA

  1. เลือกงานที่ต้องทำ JSA
    พิจารณาจากงานที่มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุ งานที่มีศักยภาพในการเกิดอันตรายสูง หรือเป็นงานใหม่

  2. แบ่งขั้นตอนการทำงาน (Job Steps)
    แยกขั้นตอนของงานออกเป็นลำดับชัดเจน โดยแต่ละขั้นตอนควรเป็นกิจกรรมย่อยที่สามารถวิเคราะห์ได้

  3. ระบุอันตรายในแต่ละขั้นตอน
    พิจารณาอันตรายทั้งจากเครื่องจักร สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการทำงาน และสภาพร่างกายของพนักงาน

  4. กำหนดวิธีควบคุมอันตราย
    อาจใช้หลักการควบคุมตามลำดับ Hierarchy of Controls เช่น กำจัด (Elimination), แทนที่ (Substitution), ใช้วิศวกรรมควบคุม, การควบคุมทางปฏิบัติ, และ PPE

Risk Assessment คือ

ความหมายของ Risk Assessment

Risk Assessment หรือ “การประเมินความเสี่ยง” คือ กระบวนการอย่างเป็นระบบในการระบุอันตราย (Hazard) และประเมินความเสี่ยง (Risk) ที่อาจเกิดขึ้นจากอันตรายนั้น เพื่อหามาตรการควบคุมที่เหมาะสมก่อนเริ่มงาน โดยมีเป้าหมายในการลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุและผลกระทบจากอันตรายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (ALARP: As Low As Reasonably Practicable)

ขั้นตอนของการทำ Risk Assessment

  1. ระบุอันตราย (Hazard Identification)
    วิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม เครื่องจักร กระบวนการ และกิจกรรมที่มีโอกาสก่อให้เกิดอันตราย

  2. ประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation)
    พิจารณาความน่าจะเป็นของการเกิดและความรุนแรงของผลกระทบ โดยมักใช้สูตร:

    Risk = Likelihood × Severity

  3. กำหนดมาตรการควบคุม (Risk Control)
    เสนอแนะแนวทางการป้องกันหรือควบคุมเพื่อลดระดับความเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนวิธีการทำงาน การใช้เครื่องมือป้องกัน หรือการฝึกอบรมพนักงาน

  4. ทบทวนและติดตามผล
    ตรวจสอบและประเมินผลหลังการควบคุม เพื่อปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ตารางเปรียบเทียบ Risk Assessment vs JSA

หัวข้อ Risk Assessment JSA
จุดมุ่งหมาย ประเมินความเสี่ยงของอันตรายโดยรวม วิเคราะห์งานเฉพาะเจาะจงเพื่อลดความเสี่ยง
ลักษณะของงาน ใช้ได้กับกระบวนการทั่วไปและระบบงานทั้งหมด มุ่งเฉพาะเจาะจงเป็นรายกิจกรรม
การประยุกต์ใช้ ใช้ในการวางแผนด้านความปลอดภัยระยะยาว ใช้ก่อนเริ่มทำงานเฉพาะกิจหรืองานที่มีความเสี่ยงสูง
รายละเอียด ระบุอันตรายทั่วไปในภาพรวม ระบุอันตรายในแต่ละขั้นตอนของงาน
ความถี่ในการจัดทำ รายปี หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งก่อนเริ่มทำงานที่กำหนด
ผู้จัดทำ จป.ร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จป.ร่วมกับ จป.หัวหน้างาน และผู้ปฏิบัติงาน

ความสัมพันธ์ระหว่าง Risk Assessment และ JSA

แม้ทั้งสองเครื่องมือจะมีความแตกต่างกันในเชิงโครงสร้างและวัตถุประสงค์ แต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด กล่าวคือ Risk Assessment สามารถช่วยกำหนดกรอบในการเลือกงานที่ควรจัดทำ JSA และในขณะเดียวกัน JSA ก็เป็นส่วนเสริมให้ Risk Assessment มีความลึกซึ้งในระดับกิจกรรม

ในสถานประกอบการที่มีระบบการจัดการความปลอดภัยที่ดี มักใช้ Risk Assessment เป็นเครื่องมือระดับนโยบาย (Macro-Level) เพื่อระบุความเสี่ยงสำคัญในองค์กร และใช้ JSA เป็นเครื่องมือระดับปฏิบัติการ (Micro-Level) เพื่อป้องกันอันตรายในหน้างานโดยตรง

แม้ว่า Risk Assessment และ JSA จะมีความคล้ายคลึงกันในการประเมินอันตราย แต่ Risk Assessment มักใช้ในระดับภาพรวมขององค์กรหรือกระบวนการ ขณะที่ JSA จะเจาะลึกเฉพาะในระดับกิจกรรมหรือขั้นตอนการทำงานรายงานละงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในแต่ละจุดปฏิบัติงานอย่างแท้จริง

การจัดทำ Risk Assessment และ JSA

บทบาทของ จป. ในการจัดทำ Risk Assessment และ JSA

  1. เป็นผู้ริเริ่มและวางระบบ
    จป.ต้องมีความเข้าใจในโครงสร้างของงานและกระบวนการผลิตเพื่อสามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงได้ครอบคลุม

  2. ทำงานร่วมกับพนักงานทุกระดับ
    การจัดทำ JSA ที่ดีต้องอาศัยความรู้ของผู้ปฏิบัติงานจริงประกอบกับทักษะการประเมินของ จป.

  3. ฝึกอบรมและส่งเสริมการมีส่วนร่วม
    จป.ควรจัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับความสำคัญของ Risk Assessment และ JSA และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดทำ

  4. ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
    ความเสี่ยงในการทำงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น จป.ต้องทบทวนเอกสารทั้งสองอย่างสม่ำเสมอ

กรณีศึกษา (ตัวอย่าง)

กรณี: การเปลี่ยนมอเตอร์ในเครื่องจักร

  • Risk Assessment
    วิเคราะห์ว่าเครื่องจักรมีความเสี่ยงอะไรบ้าง เช่น ไฟฟ้า กลไก เครื่องมือหมุน ฯลฯ พร้อมกำหนดมาตรการโดยรวม เช่น ปิดระบบไฟฟ้าก่อนดำเนินการ

  • JSA
    แยกงานเปลี่ยนมอเตอร์ออกเป็นขั้นตอน เช่น

    1. ปิดระบบไฟฟ้า

    2. ถอดฝาครอบ

    3. ถอดมอเตอร์

    4. ติดตั้งมอเตอร์ใหม่
      แล้ววิเคราะห์อันตรายแต่ละขั้น เช่น ไฟฟ้าช็อต ฝุ่นเข้าตา ของหล่นใส่เท้า พร้อมกำหนดวิธีป้องกัน เช่น Lockout/Tagout, ใส่แว่นตานิรภัย, ใส่รองเท้าเซฟตี้

ข้อควรระวังในการจัดทำเอกสารทั้งสองประเภท

  • อย่าทำเพื่อ “ให้มีเอกสาร” เพียงอย่างเดียว ควรใช้ให้เกิดประโยชน์จริง

  • เอกสารต้องสะท้อนสถานการณ์หน้างานจริง

  • ต้องอัปเดตเอกสารเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนเครื่องมือ เปลี่ยนพนักงาน หรือเปลี่ยนวิธีทำงาน

  • ควรมีการอบรมและชี้แจงให้พนักงานเข้าใจและปฏิบัติตาม

รู้หรือไม่ : มาตรฐาน มอก. 18001 (หรือ OHSAS 18001) ซึ่งเป็นระบบบริหารความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า องค์กรจะต้องมีการระบุอันตราย (Hazard Identification) และประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) เพื่อนำไปสู่การวางแผนควบคุมที่เหมาะสม

แม้ว่าในมาตรฐานจะไม่ได้กล่าวถึง Job Safety Analysis (JSA) โดยตรง แต่ JSA ถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้เพื่อสนับสนุนการระบุอันตรายและประเมินความเสี่ยง ตามแนวทางของ มอก. 18001

สรุป

Risk Assessment และ Job Safety Analysis (JSA) ต่างเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความปลอดภัยในการทำงาน ทั้ง 2 มีบทบาทที่ต่างกันแต่สามารถเสริมกันได้อย่างลงตัว การนำเครื่องมือทั้งสองมาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสมจะช่วยให้องค์กรสามารถลดอุบัติเหตุและเพิ่มวัฒนธรรมความปลอดภัยได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในบทบาทของ จป. ที่ต้องเป็นผู้นำด้านความปลอดภัย และสนับสนุนการจัดทำเอกสารทั้งสองประเภทให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งในการจะเป็น จป. ได้จะต้องผ่านการอบรมหลักสูตรตามกรมสวัสดิการฯกำหนด

สนใจอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น

เรามีทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมจัดอบรมทั้งรูปแบบ Public และ In-house

สอบถามเพิ่มเติมหรือจองรอบอบรมได้ที่
📞 โทร: (064) 958 7451 คุณแนน
📩 LINE: @safetymember


เอกสารอ้างอิง

  1. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน. (2560). แนวทางการจัดทำการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment). กรุงเทพฯ: กระทรวงแรงงาน.

  2. Occupational Safety and Health Administration (OSHA). (n.d.). Job Hazard Analysis.

  3. International Labour Organization (ILO). (2011). OSH Management System Guidelines (ILO-OSH 2001).

  4. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.). (2562). แนวปฏิบัติในการบริหารความปลอดภัยฯ มาตรฐาน มอก. 18001.

  5. ราชกิจจานุเบกษา. (2564). กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยฯ.


บทความที่น่าสนใจ

บทความน่าสนใจ

ใบอนุญาตกรมสวัสดิการฯ

คลิกรูปเพื่อขยาย

ได้รับมาตรฐาน ISO 9001

คลิกรูปเพื่อขยาย

บริษัท เซฟตี้ เมมเบอร์

เลขที่ 349 อาคารเอสเจ อินฟินิท วัน บิสซิเนส คอมเพล็กซ์ ชั้น 20 ห้องเลขที่ 2001-2005  ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

อีเมล
โทรศัพท์

คุณ แนน

เพิ่มเพื่อน

©2025 SAFETYMEMBER. Developed website and SEO by iPLANDIT