ในการให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับผู้ประสบอุบัติเหตุหรือผู้บาดเจ็บ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการประเมินสถานการณ์อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วง “นาทีทอง” (Golden Hour) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การช่วยชีวิตสามารถส่งผลต่อการอยู่รอดและผลลัพธ์ระยะยาวของผู้บาดเจ็บอย่างมีนัยสำคัญ
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้ทั่วโลก คือหลักการ DRABC (ดี-อาร์-เอ-บี-ซี) ซึ่งเป็นขั้นตอนพื้นฐานในการประเมินผู้บาดเจ็บที่ใช้ในวงการแพทย์ฉุกเฉิน การกู้ชีพ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยผู้ให้ความช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็สามารถใช้หลักการนี้เพื่อประเมินสถานการณ์และเริ่มต้นการช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง
ความหมายของ DRABC
หลักการ DRABC มาจากแนวคิดพื้นฐานของการปฐมพยาบาลและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (Emergency Medicine) ที่ถูกใช้และพัฒนามาจากระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศอังกฤษ (British Red Cross) และระบบของสมาคมหัวใจอเมริกัน (American Heart Association: AHA) โดยมีเป้าหมายคือ ให้ผู้ช่วยเหลือสามารถประเมินและตอบสนองต่อผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างมีระบบและปลอดภัย ก่อนที่ทีมแพทย์หรือรถพยาบาลจะมาถึง
DRABC เป็นคำย่อที่มาจากภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
-
D – Danger (อันตราย)
-
R – Response (การตอบสนอง)
-
A – Airway (ทางเดินหายใจ)
-
B – Breathing (การหายใจ)
-
C – Circulation (การไหลเวียนโลหิต)
ทั้งห้าขั้นตอนนี้เป็นแนวทางลำดับความสำคัญในการประเมินและช่วยชีวิตเบื้องต้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยต้องดำเนินการตามลำดับที่กำหนดไว้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้บาดเจ็บ
หลักการ DRABC มีอะไรบ้าง
1. D – Danger (ระวังอันตราย)
ขั้นตอนแรกของ DRABC คือการ ประเมินความปลอดภัยในสถานที่เกิดเหตุ ก่อนจะเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ผู้ช่วยเหลือต้องมั่นใจว่าตนเองและผู้อื่นรอบข้างปลอดภัยจากอันตราย เช่น:
-
ยานพาหนะที่ยังไม่ดับเครื่องยนต์
-
สารเคมีรั่วไหล
-
อุปกรณ์ไฟฟ้า
-
ผู้คนจำนวนมาก
-
สภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคง เช่น อาคารถล่ม
หากสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัย ควร ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยกู้ภัย หน่วยดับเพลิง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนจะเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ
การละเลยขั้นตอนนี้อาจทำให้เกิดผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม เช่น ผู้ช่วยเหลือเองกลายเป็นเหยื่ออีกคน
อ่านเพิ่มเติม : ปฐมพยาบาลอย่างไรไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือ
2. R – Response (การตอบสนอง)
เมื่อตรวจสอบว่าไม่มีอันตรายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การประเมินการตอบสนองของผู้บาดเจ็บ เพื่อดูว่าเขายังมีสติหรือไม่ โดยใช้เทคนิค AVPU ดังนี้
-
A – Alert มีสติ ตอบสนองดี
-
V – Voice ตอบสนองเมื่อถูกเรียกหรือพูดคุย
-
P – Pain ตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวด เช่น การบีบบ่า
-
U – Unresponsive ไม่ตอบสนองเลย
การรู้ระดับการตอบสนองของผู้บาดเจ็บ จะช่วยให้วางแผนขั้นตอนการช่วยชีวิตถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากผู้บาดเจ็บไม่มีการตอบสนอง ให้เรียกขอความช่วยเหลือทันที เช่น โทร 1669 (บริการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย)
3. A – Airway (เปิดทางเดินหายใจ)
ผู้บาดเจ็บที่หมดสติ มักมีโอกาสที่ลิ้นจะตกไปปิดทางเดินหายใจ หรือมีสิ่งแปลกปลอม เช่น อาเจียน เลือด เสมหะ ขวางทางเดินหายใจ ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นการ ตรวจสอบและเปิดทางเดินหายใจ
วิธีการเปิดทางเดินหายใจที่นิยมใช้คือ:
-
Head Tilt – Chin Lift: เอียงศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย แล้วดันคางขึ้น
-
Jaw Thrust: ใช้ในกรณีผู้บาดเจ็บมีความเสี่ยงกระดูกต้นคอหัก เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์
ถ้าพบสิ่งแปลกปลอม เช่น วัตถุอุดกั้น ให้พยายามนำออกอย่างระมัดระวัง แต่หากไม่เห็นสิ่งใด อย่าพยายามล้วงคอ เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดลึกลงไปอีก
4. B – Breathing (การหายใจ)
เมื่อทางเดินหายใจเปิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การตรวจสอบว่าผู้บาดเจ็บหายใจหรือไม่
ให้ใช้หลักการ “มอง ฟัง รู้สึก” (Look, Listen, Feel):
-
มอง การเคลื่อนไหวของทรวงอก
-
ฟัง เสียงลมหายใจที่ออกจากจมูกหรือปาก
-
รู้สึก ลมที่ปะทะที่แก้ม
ตรวจสอบประมาณ 10 วินาที หากไม่พบว่าผู้บาดเจ็บหายใจ หรือหายใจเฮือก (agonal gasps) ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ต้องเริ่ม การกดหน้าอก (CPR) ทันที
หากผู้บาดเจ็บยังหายใจ ควรจัดท่ากู้ชีพ (Recovery Position) และเฝ้าสังเกตอาการจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง
5. C – Circulation (การไหลเวียนโลหิต)
ขั้นตอนสุดท้ายคือการ ประเมินการไหลเวียนโลหิต ซึ่งรวมถึง:
-
การตรวจชีพจร (ที่คอหรือต้นแขน)
-
การตรวจเลือดออก
-
การดูสภาพผิวหนัง (ซีด เย็น เหงื่อออก อาจแสดงถึงภาวะช็อก)
หากพบว่าไม่มีชีพจรและไม่หายใจ ต้องเริ่มทำ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) โดยทำการกดหน้าอกที่ระดับต่ำกว่ากึ่งกลางอกประมาณ 5–6 ซม. ด้วยอัตรา 100–120 ครั้ง/นาที และอัตราการเป่าปากต่อการกดหน้าอกอยู่ที่ 2:30 ครั้ง
กรณีที่ผู้ช่วยเหลือไม่มีทักษะการเป่าปาก องค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) ก็แนะนำให้ กดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเป่าปาก
การประเมิน DRABC ในสถานการณ์จริง
การฝึกฝนประเมินผู้บาดเจ็บตามหลัก DRABC อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้ช่วยเหลือสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีความมั่นใจ และลดความผิดพลาดลงได้ในสถานการณ์จริง เช่น
-
อุบัติเหตุทางถนน
-
การจมน้ำ
-
ไฟไหม้
-
การหกล้มหมดสติ
-
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ประโยชน์ของหลักการ DRABC
-
จัดลำดับความสำคัญได้ถูกต้อง – ช่วยให้ผู้ช่วยเหลือไม่ข้ามขั้นตอนสำคัญ
-
ลดความเสี่ยงของผู้ช่วยเหลือ – โดยประเมินอันตรายก่อนเข้าไปในพื้นที่
-
เพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้บาดเจ็บ – โดยการช่วยชีวิตในนาทีทอง
-
สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องเป็นแพทย์ – เป็นแนวทางมาตรฐานสากล
-
เหมาะกับการฝึกอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น – ใช้เป็นหลักสูตรพื้นฐานสำหรับบุคคลทั่วไป องค์กร และโรงงาน
สรุป
หลักการ DRABC เป็นแนวทางที่สำคัญและจำเป็นในการประเมินและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็สามารถเรียนรู้และใช้งานได้ จุดเด่นของแนวทางนี้คือความง่าย เป็นลำดับขั้นชัดเจน และสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บซ้ำ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ประสบเหตุได้เป็นอย่างดี
สนใจอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น?
หากคุณหรือองค์กรของคุณต้องการฝึก บริการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้วยเนื้อหาวิชาการ เข้มข้น และลงมือปฏิบัติจริง โดยทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก Safetymember และมีประสบการณ์ตรง พร้อมมอบวุมิบัตร สมัครวันนี้ลด 40%
📍 เราพร้อมจัดอบรมรูปแบบ In-house เดินทางจัดอบรมทุก 77 จังหวัด
ติดต่อสอบถามหลักสูตรหรือขอใบเสนอราคาได้ที่
- โทร :(064) 958 7451 คุณแนน
- อีเมล : Sale@safetymember.net
ยิ่งเรียนรู้เร็ว ยิ่งช่วยชีวิตได้เร็ว — เพราะชีวิตไม่รอเวลา!
อ้างอิง
-
American Heart Association (AHA). (2020). Guidelines for CPR and Emergency Cardiovascular Care.
-
World Health Organization (WHO). (2022). Basic emergency care: approach to the acutely ill and injured.
-
St John Ambulance. (2023). DR ABC: How to assess a casualty.
-
Red Cross Thailand. (2023). หลักสูตรปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยฟื้นคืนชีพ
-
กระทรวงสาธารณสุข. (2566). คู่มือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับประชาชน
บทความที่น่าสนใจ
- ทำ CPR ช่วยชีวิตได้ยังไง กลไกการฟื้นคืนระบบไหลเวียนโลหิตและสมอง
- อุปกรณ์ที่สามารถใช้ทำเฝือกชั่วคราวได้ มีอะไรบ้าง