การทำงานกับระบบไฟฟ้าไม่ว่าจะในระดับแรงดันต่ำหรือแรงดันสูง ล้วนมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างสูง ดังที่สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางไฟฟ้าในสถานประกอบการในประเทศไทยยังคงพบอย่างต่อเนื่องทุกปี อุบัติเหตุเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อองค์กรในแง่ของการหยุดชะงักของการผลิต และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและชดเชย
ดังนั้นการใช้ อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE) อย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับไฟฟ้า
ประเภทของอันตรายจากไฟฟ้า
ก่อนการเลือก PPE ที่เหมาะสม จำเป็นต้องเข้าใจถึงประเภทของอันตรายจากไฟฟ้าที่บุคลากรอาจเผชิญ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 5 ประเภทหลัก ดังนี้
1. ไฟฟ้าช็อต (Electric Shock)
เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสายไฟหรือส่วนที่มีกระแสไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นหรือถึงแก่ชีวิต
2. ไฟฟ้าลัดวงจรและการเกิดอาร์คไฟฟ้า (Arc Flash/Arc Blast)
เมื่อเกิดการลัดวงจรในระบบไฟฟ้า ความต่างศักย์สูงอาจทำให้เกิดการระเบิดด้วยความร้อนสูง ส่งผลให้เกิดบาดแผลไหม้จากอุณหภูมิสูงถึง 20,000 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาสั้น ๆ
3. การลุกไหม้จากระบบไฟฟ้า (Electrical Fire)
เกิดจากสายไฟเสื่อมสภาพหรือระบบไฟฟ้าติดตั้งไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งระบบ
4. การถูกกระแสเหนี่ยวนำ (Induced Voltage)
ในบางสถานการณ์ เช่น การทำงานใกล้สายไฟแรงสูง แม้จะไม่มีการสัมผัสตรง แต่ก็อาจเกิดแรงดันเหนี่ยวนำส่งผ่านมายังร่างกายได้
5. การตกจากที่สูงหรืออุบัติเหตุแวดล้อม (Indirect Electrical Hazard)
เกิดจากผลกระทบทางอ้อมของไฟฟ้า เช่น เมื่อถูกช็อกแล้วทำให้สูญเสียการทรงตัว หรือล้มจากที่สูง
หลักการเลือก PPE สำหรับการทำงานกับไฟฟ้า
การเลือก PPE สำหรับงานไฟฟ้าจะต้องคำนึงถึงระดับความเสี่ยงของงาน ความแรงดันไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลักษณะการทำงาน เช่น การทำงานใกล้ระบบที่มีพลังงาน หรือการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น NFPA 70E, ASTM F1506, IEC 61482 และมาตรฐานของประเทศไทย เช่น มอก. 1955-2551 (รองเท้านิรภัย), มอก. 1923-2553 (หมวกนิรภัย)
หลักเกณฑ์สำคัญได้แก่:
-
ต้องสามารถทนต่อแรงดันไฟฟ้าที่อาจสัมผัสได้
-
ต้องไม่เป็นวัสดุนำไฟฟ้า
-
ต้องปกป้องร่างกายจากความร้อนหรือเปลวไฟจาก Arc Flash
-
ต้องไม่ก่อให้เกิดประกายไฟเมื่อสัมผัสกับกระแส
รายการอุปกรณ์ PPE สำหรับงานไฟฟ้า
1. ถุงมือป้องกันไฟฟ้า (Electrical Insulating Gloves)
ผลิตจากยางธรรมชาติหรือยางสังเคราะห์ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ASTM D120 ใช้สำหรับป้องกันไฟฟ้าช็อต มีการจัดระดับ Class ตามระดับแรงดัน เช่น:
-
Class 00: ≤ 500 V
-
Class 0: ≤ 1,000 V
-
Class 1: ≤ 7,500 V
ควรใช้งานร่วมกับถุงมือหนังเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนที่ทำให้ฉนวนเสียหาย
2. หมวกนิรภัยชนิดป้องกันไฟฟ้า (Class E Hard Hat)
หมวกนิรภัยชนิดป้องกันไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Class E Hard Hat (Electrical) ได้รับการออกแบบมาเฉพาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงจากไฟฟ้าแรงสูง โดยหมวกประเภทนี้สามารถทนต่อแรงดันไฟฟ้าได้สูงถึง 20,000 โวลต์ ตามมาตรฐาน ANSI Z89.1
หมวกนิรภัยประเภทนี้ผลิตจากวัสดุที่ ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น พลาสติกวิศวกรรมชนิดพิเศษ (High-Density Polyethylene หรือ ABS) ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านมายังศีรษะของผู้สวมใส่ในกรณีที่มีการสัมผัสกับแหล่งจ่ายไฟฟ้าหรือเกิดอุบัติเหตุไฟฟ้า
การเลือกใช้หมวกนิรภัย Class E ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าแรงสูง เช่น งานบำรุงรักษาสายส่งไฟฟ้า งานติดตั้งระบบไฟฟ้าในสถานที่ก่อสร้าง และงานอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า เพื่อป้องกัน อันตรายจากไฟฟ้าช็อต หรืออาร์คแฟลช (Arc Flash) ที่อาจก่อให้เกิดบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้
3. เสื้อผ้าป้องกันไฟฟ้าและ Arc Flash (Arc Rated Clothing)
เนื้อผ้าต้องผ่านมาตรฐาน NFPA 70E หรือ ASTM F1506 ซึ่งสามารถทนความร้อนจาก Arc Flash ได้โดยไม่ติดไฟหรือหลอมละลาย เช่น ผ้า Nomex หรือผ้า Modacrylic ที่ผ่านการเคลือบพิเศษ
เสื้อผ้าเหล่านี้จะมีค่าที่เรียกว่า ATPV (Arc Thermal Performance Value) หรือ EBT (Energy Breakopen Threshold) เพื่อประเมินระดับการป้องกัน
4. หน้ากากป้องกัน Arc Flash (Arc Flash Face Shield)
เป็นหน้ากากหรือหมวกที่รวมการป้องกันทั้งแสงจ้าจาก Arc Flash และแรงกระแทกจากการระเบิด มีค่าระดับ Arc Rating เช่นเดียวกับเสื้อผ้า
หน้ากาก Arc Flash โดยทั่วไปมักจะมีลักษณะเป็นชุดครอบศีรษะหรือหมวกนิรภัยที่ติดตั้ง แผ่นบังหน้าชนิดพิเศษ (Face Shield) ที่ผลิตจากวัสดุทนความร้อนและแสง เช่น โพลีคาร์บอเนตแบบเคลือบสารป้องกัน UV และแสงอินฟราเรด เพื่อป้องกัน:
-
แสงจ้าจาก Arc Flash ที่อาจทำลายจอประสาทตา
-
อุณหภูมิสูงที่อาจทำให้ผิวหน้าไหม้
-
อนุภาคหรือเศษวัสดุที่ปลิวกระเด็นจากการระเบิดของ Arc
5. ฉนวนปูพื้น/ฉนวนรองเท้า (Insulated Matting)
แผ่นฉนวนปูพื้นจะทำหน้าที่เป็น ฉนวนกันไฟฟ้าระหว่างร่างกายและพื้นดิน ป้องกันการปิดวงจรไฟฟ้าในกรณีที่ผู้ปฏิบัติงานเผลอสัมผัสกับสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ที่มีกระแสไฟ โดยจะต้องเลือกใช้แผ่นฉนวนที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน เช่น:
-
IEC 61111 (มาตรฐานแผ่นยางฉนวนไฟฟ้าแรงดันสูง)
-
ASTM D178 (มาตรฐานแผ่นยางฉนวนในอเมริกา)
แผ่นฉนวนเหล่านี้ต้องมีการตรวจสอบสภาพสม่ำเสมอ เช่น รอยขาด รอยแตก หรือความชื้น เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
6. รองเท้านิรภัยชนิดหุ้มฉนวน (Electrical Hazard Safety Shoes)
รองเท้านิรภัยชนิดหุ้มฉนวน เป็นอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับปกป้องผู้ปฏิบัติงานจาก อันตรายจากไฟฟ้าช็อตที่อาจไหลจากพื้นขึ้นสู่ร่างกาย ผ่านทางเท้า รองเท้าประเภทนี้ผลิตจากวัสดุที่เป็น ฉนวนไฟฟ้า เช่น ยางหรือโพลิเมอร์ชนิดพิเศษที่ไม่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า โดยรองเท้าจะต้องไม่มีส่วนประกอบที่เป็นโลหะหรือมีโลหะเฉพาะจุดที่ได้รับการออกแบบให้ปลอดภัยต่อการใช้งานกับไฟฟ้า
7. อุปกรณ์เสริม เช่น ปลอกแขน ฉนวนสำหรับเครื่องมือ (Insulated Tools)
ในการทำงานกับไฟฟ้า โดยเฉพาะงานที่มีแรงดันสูงหรือในพื้นที่แคบ การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์เสริมที่มีคุณสมบัติเป็น ฉนวนไฟฟ้า ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เช่น:
-
ไขควงหุ้มฉนวน
-
คีมปากจิ้งจกหุ้มฉนวน
-
คีมตัดสายไฟแบบหุ้มฉนวน
-
ปลอกแขนป้องกันไฟฟ้า
เครื่องมือเหล่านี้ต้องผ่านการทดสอบและรับรองตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น IEC 60900 ซึ่งกำหนดให้เครื่องมือหุ้มฉนวนต้องสามารถต้านทานแรงดันไฟฟ้าสูง (เช่น 1,000 โวลต์) โดยไม่เกิดการลัดวงจรหรือการนำไฟฟ้าไปยังร่างกายผู้ใช้งาน
ความแตกต่างของ PPE งานไฟฟ้าและงานประเภทอื่น
รายการ | PPE งานไฟฟ้า | PPE งานทั่วไป |
---|---|---|
ความเป็นฉนวน | ต้องเป็นวัสดุไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า | ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติฉนวน |
การป้องกัน Arc Flash | จำเป็นต้องใช้ | ไม่จำเป็นในทุกงาน |
มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง | ต้องผ่าน NFPA 70E, ASTM F1506 ฯลฯ | อาจใช้มาตรฐานทั่วไป เช่น EN ISO 20345 |
ความไวต่อความชื้น | หลีกเลี่ยงวัสดุอมน้ำ | อาจไม่กระทบมาก |
ลักษณะการใช้งาน | ทำงานใกล้กระแสไฟฟ้าหรืออุปกรณ์พลังงาน | งานเช่นก่อสร้าง เชื่อม งานสารเคมี |
จะเห็นได้ว่า PPE สำหรับงานไฟฟ้ามีข้อกำหนดเฉพาะด้านความปลอดภัยทางไฟฟ้าที่มากกว่า ซึ่งหากเลือกใช้อย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้
บทสรุป
PPE สำหรับการทำงานกับไฟฟ้าไม่ใช่เพียงอุปกรณ์สวมใส่ทั่วไป แต่เป็นด่านแรกที่ช่วยปกป้องชีวิตของผู้ปฏิบัติงานจากอันตรายร้ายแรงในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้ในบทความ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าช็อต อาร์คแฟลช หรือการระเบิด
การเลือก PPE ที่เหมาะสมจึงต้องอยู่ภายใต้การวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละงาน ประกอบกับความเข้าใจในมาตรฐานสากล เพื่อให้เกิดการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ฝึกอบรมงานไฟฟ้ากับวิทยากรมืออาชีพ
เพื่อความปลอดภัยในการทำงานกับระบบไฟฟ้า ไม่เพียงแต่ต้องมีอุปกรณ์ PPE ที่ได้มาตรฐาน แต่ตัวพนักงานเองยังต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการประเมินความเสี่ยง และวิธีใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้อง
แนะนำหลักสูตร อบรมไฟฟ้า (Electrical Safety Training) ที่จัดโดยทีมวิทยากรมืออาชีพจาก Safetymember
✅ พร้อมจัดอบรมทั้งรูปแบบ อินเฮ้าส์ และ บุคคลทั่วไป
✅ เนื้อหาหลักสูตรตามกฎหมาย
✅ ฝึกปฏิบัติจริง ใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน
✅ สามารถจัดอบรมแบบ In-house ทั่วประเทศ
📞 ติดต่อทีมงานเพื่อรับคำปรึกษาและใบเสนอราคาได้ที่
LINE: @safetymember
โทรศัพท์: (064) 958 7451 คุณแนน
อ้างอิง (References)
-
NFPA 70E – Standard for Electrical Safety in the Workplace, National Fire Protection Association.
-
ASTM F1506 – Standard Performance Specification for Flame Resistant Textile Materials for Wearing Apparel for Use by Electrical Workers.
-
OSHA 29 CFR 1910.137 – Electrical Protective Equipment.
-
ANSI/ISEA Z89.1 – American National Standard for Industrial Head Protection.
-
IEC 61482 – Live working – Protective clothing against the thermal hazards of an electric arc.
-
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน. (2562). แนวทางปฏิบัติความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า.
-
สมาคมวิศวกรรมไฟฟ้าแห่งประเทศไทย. (2565). เอกสารเผยแพร่เรื่อง “Arc Flash กับความปลอดภัยในการทำงาน”.
บทความที่น่าสนใจ
- มาตรฐาน OHSAS 18001 พื้นฐานความปลอดภัยองค์กร
- ความต่าง Risk Assessment กับ JSA
- ประเภทของไฟแต่ละชนิดอันตรายต่างกันยังไง
- Work Permit กระบวนการขออนุญาตทำงานเสี่ยงอันตราย