การหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือโดยทันที เนื่องจากอาจนำไปสู่การเสียชีวิตถาวรได้ภายในไม่กี่นาทีหากไม่ได้รับการช่วยชีวิตอย่างทันท่วงที การฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary Resuscitation: CPR) เป็นกระบวนการช่วยชีวิตที่สำคัญ ซึ่งอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ของระบบไหลเวียนเลือดและระบบทางเดินหายใจ เพื่อคงการไหลเวียนของออกซิเจนไปยังสมองและอวัยวะสำคัญของร่างกาย
กลไกการหายใจและการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
ระบบหายใจทำงานร่วมกับระบบไหลเวียนโลหิตเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน (O₂) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ออกซิเจนจากอากาศจะเข้าสู่ถุงลมในปอดและแพร่เข้าสู่หลอดเลือดฝอย จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการสร้างพลังงาน (ATP) ผ่านกระบวนการเมแทบอลิซึมแบบแอโรบิก (aerobic metabolism)
การทำงานนี้ต้องพึ่งพา:
-
สมองส่วนก้านสมอง (Brainstem) ที่ควบคุมจังหวะการหายใจ
-
หัวใจ ที่สูบฉีดเลือดไปยังปอดและร่างกาย
-
กล้ามเนื้อหายใจ เช่น กระบังลม (diaphragm) และกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง
เมื่อระบบใดระบบหนึ่งล้มเหลว จะทำให้เกิดภาวะ Hypoxia (ขาดออกซิเจน) และนำไปสู่การเสียชีวิตของเซลล์
กลไกของการหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น
ภาวะหยุดหายใจ (Apnea) หมายถึง การที่ร่างกายหยุดการหายใจ ไม่ว่าจะโดยสิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ (Obstructive) หรือการหยุดทำงานของศูนย์ควบคุมการหายใจ (Central)
สาเหตุทั่วไปของการหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น ได้แก่:
-
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง (Ventricular fibrillation, Asystole)
-
ภาวะขาดออกซิเจนจากการจมน้ำ หรือสำลัก
-
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
-
ภาวะสมองบาดเจ็บ
-
ยาเกินขนาด
เมื่อหัวใจหยุดเต้น เลือดไม่สามารถสูบฉีดออกจากหัวใจ ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจนทันที ซึ่งเซลล์สมองจะเริ่มตายภายใน 4-6 นาที หากไม่ได้รับออกซิเจน
กลไกทางวิทยาศาสตร์ของการทำ CPR
การทำ CPR คือ กระบวนการช่วยให้ร่างกายยังคงได้รับออกซิเจนอย่างจำกัด โดยไม่ต้องอาศัยการทำงานของหัวใจตามปกติ ประกอบด้วยสองขั้นตอนหลัก:
1. การกดหน้าอก (Chest Compression)
การกดหน้าอกอย่างต่อเนื่องที่ความลึกประมาณ 5–6 เซนติเมตร ด้วยอัตรา 100–120 ครั้งต่อนาที ทำให้เกิดแรงดันในทรวงอกเพิ่มขึ้น ทำให้เลือดไหลจากหัวใจไปยังสมองและอวัยวะอื่น
-
กลไกนี้เรียกว่า Cardiac Pump Theory และ Thoracic Pump Theory
-
Cardiac Pump Theory: การกดหน้าอกทำให้หัวใจถูกบีบตัวโดยตรง เลือดจึงถูกดันออกจากหัวใจ
-
Thoracic Pump Theory: การเพิ่มแรงดันในช่องอกจากการกดหน้าอกจะบีบหลอดเลือดในทรวงอกให้เกิดการไหลเวียนของเลือด
-
การกดหน้าอกอย่างมีประสิทธิภาพสามารถรักษาความดันเลือดซิสโตลิก (systolic blood pressure) ไว้ที่ประมาณ 60–80 mmHg เพียงพอต่อการส่งเลือดไปยังสมอง
2. การช่วยหายใจ (Rescue Breathing)
การเป่าลมเข้าปากผู้ป่วยทำให้มีการส่งออกซิเจนเข้าไปในถุงลมปอด ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซ
-
ออกซิเจนที่เป่าเข้าไปมีประมาณ 16–17% ซึ่งเพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซเบื้องต้นในระหว่าง CPR
-
ในบางกรณีการทำ CPR แบบไม่เป่าปาก (Compression-only CPR) ก็สามารถใช้ได้ในผู้ใหญ่ที่หัวใจหยุดเต้นจากสาเหตุหัวใจวาย โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถเป่าปากได้ทันที
ผลกระทบเมื่อหยุดหายใจต่อสมองและอวัยวะสำคัญ
เมื่อหัวใจหยุดเต้น เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนไปยังสมองได้ การทำ CPR จึงช่วยชะลอความเสียหายต่อสมอง โดยเฉพาะในช่วง “Golden Time” คือ 4–6 นาทีหลังจากหยุดหายใจ
-
ถ้า CPR เริ่มภายใน 1–2 นาที อัตราการรอดชีวิตจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
-
การล่าช้าในการทำ CPR เกิน 6 นาที มักทำให้ผู้ป่วยสมองเสียหายถาวร
เครื่องมือช่วยเหลือ: เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)
เครื่อง AED สามารถวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจและให้ไฟฟ้าช็อกเพื่อแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่รักษาได้ เช่น Ventricular Fibrillation (VF) หรือ Pulseless Ventricular Tachycardia (VT)
-
การใช้ AED ร่วมกับ CPR เพิ่มโอกาสรอดชีวิตสูงถึง 50–70% หากใช้ภายใน 3–5 นาทีแรก
-
ไฟฟ้าช็อกจะช่วย “รีเซ็ต” หัวใจให้กลับมาเต้นตามจังหวะปกติได้
ผลกระทบของการทำ CPR ที่ผิดวิธี
หากทำ CPR ผิดวิธี เช่น การกดหน้าอกไม่ลึกพอ หรือกดช้าเกินไป จะทำให้เลือดไม่เพียงพอในการส่งออกซิเจน
-
การกดหน้าอกผิดตำแหน่งอาจทำให้ซี่โครงหัก หรืออวัยวะภายในบาดเจ็บ
-
การไม่ปล่อยหน้าอกกลับเต็มที่ (incomplete recoil) จะลดการไหลเวียนกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจ
การฟื้นคืนชีพหลังการช่วยชีวิต (Post-Resuscitation Care)
แม้จะสามารถฟื้นการเต้นของหัวใจได้แล้ว แต่ร่างกายยังต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด
-
ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย (Targeted Temperature Management) เพื่อป้องกันสมองเสียหาย
-
ใช้ยาเพื่อเพิ่มความดันโลหิต
-
ให้ออกซิเจนในระดับเหมาะสม (Oxygenation)
สรุป
การทำ CPR ไม่ใช่เพียงแค่การกดหน้าอกและเป่าปาก แต่เป็นการนำหลักวิทยาศาสตร์ของสรีรวิทยาการหายใจและระบบไหลเวียนเลือดมาประยุกต์ใช้เพื่อยืดอายุของเซลล์สมองและอวัยวะสำคัญ การเข้าใจกลไกการทำงานของ CPR ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์และบุคคลทั่วไปสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ติดต่ออบรมหลักสูตรปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากทีม Safetymember ได้วันนี้ เพื่อความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินในทุกสถานการณ์ มาตรฐาน AHA พร้อมมอบวุฒิบัตรหลังอบรม หลักสูตรเป็นแบบอินเฮ้าส์ (เดินทางไปสอนลูกค้าถึงสถานที่) จองวันอบรมวันนี้ลดทันที 40%
ติดต่อสอบถาม : (064) 958 7451 คุณแนน
อ้างอิง
-
American Heart Association. (2020). Highlights of the 2020 American Heart Association Guidelines for CPR and ECC.
-
Berg, R. A., et al. (2001). “A comparison of chest compression techniques for infants and children.” The New England Journal of Medicine, 345(6), 433–437.
-
Yannopoulos, D., & Aufderheide, T. P. (2009). “The evolving role of the thoracic pump in cardiac resuscitation.” Critical Care Medicine, 37(4), S425–S429.
-
Nolan, J. P., et al. (2015). “European Resuscitation Council Guidelines for Resuscitation 2015.” Resuscitation, 95, 100–147.
-
Neumar, R. W., et al. (2008). “Post-cardiac arrest syndrome.” Circulation, 118(23), 2452–2483.
-
Kouwenhoven, W. B., Jude, J. R., & Knickerbocker, G. G. (1960). “Closed-chest cardiac massage.” JAMA, 173(10), 1064–1067.
-
Perkins, G. D., et al. (2015). “Compression-only CPR: a systematic review and meta-analysis.” The Lancet, 386(9996), 1294–1300.